คู่มือการเรียนรู้ n8n

 

คู่มือการเรียนรู้ n8n ฉบับสมบูรณ์: สร้างระบบอัตโนมัติสำหรับปี 2025

1. บทนำสู่ n8n: ปลดล็อกพลังแห่งระบบอัตโนมัติ

ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็ว การจัดการงานที่ซ้ำซากและน่าเบื่อถือเป็นความท้าทายสำคัญที่ลดทอนประสิทธิภาพและเวลาอันมีค่า Workflow Automation หรือระบบอัตโนมัติเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่ทำงานแทนมนุษย์ในกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การจัดการข้อมูลไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้า n8n คือแพลตฟอร์มระบบอัตโนมัติอันทรงพลังที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อแอปพลิเคชันและบริการต่างๆ เข้าด้วยกัน ช่วยให้คุณสามารถสร้างกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างความสามารถของ n8n:

  • การสร้าง AI Agent: พัฒนาผู้ช่วย AI ส่วนตัวที่สามารถจัดการงานต่างๆ เช่น การจัดการปฏิทิน การสร้างรายการสิ่งที่ต้องทำ หรือแม้กระทั่งการตอบคำถามจากฐานข้อมูลความรู้ของคุณเอง
  • การดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ (Web Scraping): รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ โดยอัตโนมัติ เช่น การดึงรายชื่อธุรกิจจากหน้าผลการค้นหา เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมทางการตลาด
  • การสร้างเอกสารอัตโนมัติ: สร้างเอกสารที่ซับซ้อนซึ่งมีตัวแปรหลายร้อยรายการได้ในพริบตา ลดระยะเวลาการทำงานจากหลักนาทีให้เหลือเพียงไม่กี่วินาที
  • การจัดการปฏิทิน อีเมล และโซเชียลมีเดีย: จัดการการนัดหมาย ตอบกลับอีเมล หรือโพสต์เนื้อหาลงโซเชียลมีเดียตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้
  • การสร้างแดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์: เชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างรายงานและแดชบอร์ดที่อัปเดตข้อมูลล่าสุดอยู่เสมอ ช่วยให้คุณตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างเฉียบคม

คู่มือนี้แตกต่างจากคู่มือ "Quick Start Guide" ของทางการ ซึ่งเปรียบเสมือนการที่คุณต้องบุกป่าฝ่าดงในแอมะซอนเพื่อหาทางออกด้วยตัวเอง คู่มือฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสรุปและย่อยข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดในรูปแบบของเวิร์กชอปที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้คุณมั่นใจและสามารถสร้างระบบอัตโนมัติแรกของคุณได้ทันที

ต่อไป เราจะเริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นั่นคือการตั้งค่าสภาพแวดล้อมการทำงานและทำความรู้จักกับเครื่องมือต่างๆ ใน n8n

2. การเริ่มต้นใช้งาน n8n: ตั้งค่าและสำรวจเครื่องมือ

การตั้งค่าที่ถูกต้องและการทำความเข้าใจส่วนประกอบต่างๆ บนหน้าจอผู้ใช้งาน (User Interface - UI) คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ n8n ในบทนี้ เราจะแนะนำขั้นตอนการสมัครใช้งานและสำรวจเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้าง Workflow ของคุณ

ขั้นตอนการสมัครใช้งาน n8n

  1. เริ่มต้นทดลองใช้ฟรี: ไปที่เว็บไซต์ n8n.io และคลิกที่ปุ่ม "Sign In" เพื่อเริ่มต้นการทดลองใช้งานฟรี (Free Trial)
  2. กรอกข้อมูล: กรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลบริษัท จากนั้นตั้งรหัสผ่านเพื่อสร้างบัญชี
  3. ยืนยันอีเมล: ระบบจะส่งอีเมลยืนยันไปยังที่อยู่ที่คุณลงทะเบียนไว้ ให้คลิกที่ลิงก์ "Verify Profile" ในอีเมลเพื่อยืนยันบัญชี
  4. ข้ามขั้นตอนเสริม: หลังจากยืนยันอีเมลแล้ว ระบบจะพาคุณไปยังหน้าแบบสำรวจและหน้าเชิญสมาชิกเข้าร่วมทีม คุณสามารถกรอกข้อมูลใดๆ ก็ได้ในแบบสำรวจและกดข้าม (Skip) การเชิญสมาชิกเพื่อเข้าสู่หน้าจอหลักได้ทันที

การสำรวจหน้าจอหลักของ n8n (n8n UI)

เมื่อเข้าสู่แพลตฟอร์ม คุณจะพบกับตัวเลือกมากมายบนหน้าจอ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกสับสนในตอนแรก แต่จากประสบการณ์แล้ว แม้ว่าหน้าจอจะเต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย แต่ในตอนเริ่มต้น สิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญจริงๆ มีเพียงสองอย่างคือ การสร้างโปรเจกต์ (Project) และ การสร้างเวิร์กโฟลว์ (Workflow) เท่านั้น

ส่วนประกอบ (Component)

คำอธิบาย (Description)

Projects (Personal vs. Company)

โฟลเดอร์สำหรับจัดเก็บ Workflows โดยสามารถแยกเป็นโปรเจกต์ส่วนตัวและโปรเจกต์ของบริษัทเพื่อความเป็นระเบียบ

Workflows

พื้นที่หลักที่คุณใช้สร้างและแก้ไขกระบวนการทำงานอัตโนมัติ

Zoom and navigation controls

เครื่องมือสำหรับซูมเข้า-ออก และเลื่อนหน้าจอ เพื่อให้เห็นภาพรวมของ Workflow ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น

Workflow Name and Tags

ส่วนสำหรับตั้งชื่อ Workflow และเพิ่ม "แท็ก" (เช่น Sales, Marketing) เพื่อช่วยในการจัดหมวดหมู่และค้นหา

Editor vs. Executions view

Editor คือโหมดสำหรับสร้างและแก้ไข Workflow ส่วน Executions คือโหมดสำหรับดูประวัติการทำงานและตรวจสอบข้อผิดพลาด (Debug)

Save button

ปุ่มสำหรับบันทึกการเปลี่ยนแปลงใน Workflow (สามารถใช้คีย์ลัด Cmd+S หรือ Ctrl+S ได้)

Workflow History

ประวัติการแก้ไขทั้งหมดของ Workflow ทำให้คุณสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้หากเกิดข้อผิดพลาด

The three-dot menu

เมนูตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับจัดการ Workflow เช่น ทำซ้ำ (Duplicate), ดาวน์โหลดเป็นไฟล์ (Download) หรือนำเข้าจากไฟล์ (Import)

ความแตกต่างระหว่าง 'Trigger' และ 'Action'

ใน n8n ทุก Workflow จะประกอบด้วยสองส่วนหลัก:

  • Trigger (ตัวกระตุ้น): คือโหนด (Node) แรกสุดของ Workflow ทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำงานทั้งหมด เช่น "เมื่อมีคนกรอกฟอร์ม" หรือ "เมื่อถึงเวลาที่กำหนด"
  • Action (การกระทำ): คือโหนดที่ตามมาทั้งหมดหลังจาก Trigger ทำหน้าที่เป็นขั้นตอนการทำงานต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ Workflow ถูกกระตุ้น เช่น "บันทึกข้อมูลลง Google Sheets" หรือ "ส่งอีเมลแจ้งเตือน"

เมื่อคุณเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ก็ถือว่าคุณผ่านก้าวแรกที่สำคัญมาได้สำเร็จ! ถึงเวลาที่จะลงมือสร้าง Workflow แรกที่มีประโยชน์และนำไปใช้งานได้จริง

3. เวิร์กชอปที่ 1: สร้างระบบจัดการลูกค้าเป้าหมาย (New Lead Workflow)

การจัดการลูกค้าเป้าหมาย (Lead) อย่างรวดเร็วคือหัวใจสำคัญของการเพิ่มยอดขาย มีสถิติระบุว่า การติดต่อกลับหาลูกค้าเป้าหมายภายใน 60 วินาที สามารถเพิ่มอัตราการปิดการขาย (Conversion Rate) ได้สูงถึง 391% เวิร์กชอปนี้จะสอนคุณสร้าง Workflow อัตโนมัติเพื่อจัดการทุกขั้นตอนตั้งแต่ลูกค้ากรอกฟอร์มไปจนถึงการแจ้งเตือนทีมขายให้ติดต่อกลับทันที ซึ่ง Workflow นี้เพียงอย่างเดียว หากคุณนำไปปรับใช้อย่างถูกต้อง จะสามารถทำเงินให้คุณได้มากกว่าเดิมถึงสี่เท่าเลยทีเดียว

3.1. ขั้นตอนที่ 1: การสร้างทริกเกอร์ด้วย Form Submission

  1. เพิ่ม Trigger: คลิกที่ปุ่ม + บนหน้าจอว่างและค้นหา "On a form submission" เพื่อสร้างทริกเกอร์แบบฟอร์ม
  2. ตั้งค่าฟอร์ม:
    • ตั้งชื่อฟอร์มในช่อง Form Title (เช่น New Lead Form)
    • เพิ่มฟิลด์ที่ต้องการโดยคลิก Add form element
      • First Name (ประเภท: Text)
      • Last Name (ประเภท: Text)
      • Email (ประเภท: Text)
      • Budget (ประเภท: Drop-down)
      • Message (ประเภท: Text)
    • สำหรับฟิลด์ Budget ให้เปลี่ยน Element Type เป็น Drop-down list และเพิ่มตัวเลือก เช่น $0 to $100, $100 to $1,000, และ $1,000+
  3. ทดสอบและปักหมุดข้อมูล:
    • คลิกที่ URL ของฟอร์มเพื่อคัดลอก และเปิดในแท็บใหม่
    • กลับมาที่ n8n แล้วคลิกปุ่ม Test step เพื่อให้ฟอร์มเริ่ม "ฟัง" ข้อมูล
    • กรอกข้อมูลตัวอย่างลงในฟอร์มที่เปิดไว้และกด Submit
    • เมื่อข้อมูลเข้ามาใน n8n แล้ว ให้คลิกที่ไอคอน Pin เพื่อ "ปักหมุด" ข้อมูลทดสอบนี้ไว้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถทดสอบขั้นตอนต่อไปได้โดยไม่ต้องกรอกฟอร์มซ้ำๆ
  4. ทำความเข้าใจมุมมองข้อมูล: n8n แสดงข้อมูลที่ได้รับใน 3 รูปแบบ:
    • Table: รูปแบบตารางที่คุ้นเคยคล้ายสเปรดชีต
    • JSON: รูปแบบข้อมูลมาตรฐานที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ต
    • Schema: แสดงโครงสร้างและประเภทของข้อมูลแต่ละฟิลด์

3.2. ขั้นตอนที่ 2: การบันทึกข้อมูลลง Google Sheets

  1. เตรียม Google Sheet: สร้าง Google Sheet ใหม่และตั้งชื่อคอลัมน์ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับจากฟอร์ม: First Name, Last Name, Email, Budget, Message, Date, Rejected
  2. เพิ่มโหนด Google Sheets:
    • คลิก + หลังโหนด Trigger และค้นหา "Google Sheets"
    • เลือก Operation เป็น Append or Update Row ซึ่งหมายถึงการ "เพิ่มแถวใหม่ถ้ายังไม่มี หรืออัปเดตแถวเดิมถ้ามีอยู่แล้ว"
    • ทำการเชื่อมต่อ (Authenticate) บัญชี Google ของคุณโดยคลิกที่ Create ในช่อง Credential และให้สิทธิ์ n8n ในการเข้าถึง
  3. จับคู่ข้อมูล (Data Mapping):
    • เลือกไฟล์ Google Sheet และ Sheet ที่ต้องการ
    • ลากข้อมูลจากแผงด้านซ้าย (Input) มาวางในช่องที่ตรงกันทางด้านขวา เช่น ลาก First Name จากฟอร์มมาใส่ในช่อง First Name ของ Google Sheets
  4. กำหนด Unique Identifier:
    • ในช่อง Column to Match On ให้เลือก Email
    • Unique Identifier คือข้อมูลที่ไม่ซ้ำกันซึ่งใช้ในการระบุแถว ในที่นี้ เราใช้อีเมลเป็นตัวระบุ หากมีอีเมลนี้อยู่แล้วในชีท Workflow จะทำการอัปเดตข้อมูลในแถวนั้น แต่หากยังไม่มี ก็จะสร้างแถวใหม่ขึ้นมา

3.3. ขั้นตอนที่ 3: การใช้ Expressions และ Functions

ใน n8n คุณสามารถใส่ข้อมูลในโหนดได้ 2 รูปแบบ:

  • Fixed (ค่าคงที่): คือการพิมพ์ข้อความหรือตัวเลขลงไปตรงๆ
  • Expressions (นิพจน์): คือการใช้โค้ดสั้นๆ หรือตัวแปรเพื่อสร้างข้อมูลแบบไดนามิก
  1. เพิ่มวันที่อัตโนมัติ:
    • ในช่อง Date ของโหนด Google Sheets ให้เปลี่ยนจาก Fixed เป็น Expressions
    • พิมพ์ {{ $now }} ลงไป นิพจน์นี้จะดึงเอาวันและเวลาปัจจุบันที่ Workflow ทำงานมาใส่ให้โดยอัตโนมัติ
  2. ใช้เงื่อนไขด้วยฟังก์ชัน IF:
    • เราจะใช้ฟังก์ชัน IF เพื่อกำหนดค่าในคอลัมน์ Rejected โดยอัตโนมัติ
    • เป้าหมาย: ถ้าลูกค้ามีงบประมาณไม่ถึง $1,000+ ให้ทำเครื่องหมายว่าถูกปฏิเสธ (true) แต่ถ้าถึง ให้ทำเครื่องหมายว่าไม่ถูกปฏิเสธ (false)
    • ในช่อง Rejected ให้เปลี่ยนเป็น Expressions และใส่นิพจน์ต่อไปนี้:
    • คำอธิบาย:
      • $if(...) คือการเรียกใช้ฟังก์ชัน IF
      • $json.budget !== '$1,000+' คือเงื่อนไข: "ถ้างบประมาณ ไม่เท่ากับ (!==) '$1,000+'"
      • true คือค่าที่จะแสดงผลหากเงื่อนไขเป็นจริง
      • false คือค่าที่จะแสดงผลหากเงื่อนไขเป็นเท็จ

3.4. ขั้นตอนที่ 4: การกรองและแยกเส้นทางข้อมูล (Filter and Switch)

  1. กรองข้อมูลด้วย Filter:
    • เพิ่มโหนด Filter หลังโหนด Google Sheets
    • ตั้งเงื่อนไขเพื่อกรองลูกค้าที่ไม่ต้องการออกไป เช่น หาก Budget เท่ากับ $0 to $100 Workflow จะหยุดทำงานที่จุดนี้ทันที เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปกับลูกค้าที่ยังไม่พร้อม
  2. แยกเส้นทางด้วย Switch:
    • เพิ่มโหนด Switch เพื่อแยกการทำงานตามงบประมาณของลูกค้า ทำให้เราสามารถมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกันได้
    • สร้าง 2 เส้นทาง (Routing Rules):
      • เส้นทางที่ 1: ถ้า Budget เท่ากับ $100 to $1,000
      • เส้นทางที่ 2: ถ้า Budget เท่ากับ $1,000+
  3. ส่งอีเมลที่แตกต่างกัน:
    • ในแต่ละเส้นทาง ให้เพิ่มโหนด Gmail (Send an email)
    • เขียนเนื้อหาอีเมลให้แตกต่างกัน เช่น เส้นทางงบสูงให้ส่งลิงก์นัดประชุมทันที เพื่อเร่งกระบวนการขาย
  4. รวมเส้นทางด้วย Merge:
    • เพิ่มโหนด Merge เพื่อรวมทั้งสองเส้นทางกลับมาเป็นเส้นทางเดียว ทำให้สามารถทำงานขั้นตอนต่อไปได้ไม่ว่าจะมาจากเส้นทางใด

3.5. ขั้นตอนที่ 5: การแจ้งเตือนทีม

หลังจากโหนด Merge ให้เพิ่มโหนด Gmail อีกครั้งเพื่อส่งอีเมลแจ้งเตือนภายในทีม ขั้นตอนนี้คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ทีมของคุณติดต่อกลับหาลูกค้าได้ภายใน 60 วินาที เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายให้ได้สูงสุด โดยระบุรายละเอียดของลูกค้าเป้าหมายใหม่ทั้งหมด (ชื่อ, อีเมล, งบประมาณ, ข้อความ)

แบบฝึกหัดท้ายบท (End-of-Chapter Exercise)

ลองปรับแก้ Workflow นี้ โดยเพิ่มเงื่อนไขในโหนด Filter เพื่อกรองลูกค้าเป้าหมายที่ไม่ได้กรอก 'Message' ออกไป และเพิ่มเส้นทางที่สามในโหนด Switch สำหรับลูกค้าที่มีงบประมาณ '$0 to $100' เพื่อส่งอีเมลอัตโนมัติแจ้งว่าไม่สามารถให้บริการได้ในขณะนี้

เมื่อคุณสร้างระบบจัดการลูกค้าได้แล้ว ในบทต่อไป เราจะยกระดับความสามารถขึ้นไปอีกขั้นด้วยการสร้างผู้ช่วย AI ส่วนตัว

4. เวิร์กชอปที่ 2: สร้างผู้ช่วย AI ส่วนตัวและระบบรายงาน

AI Agent ใน n8n คือผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะที่คุณสามารถสร้างขึ้นเพื่อจัดการงานประจำวันผ่านการสั่งงานด้วยภาษาธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการปฏิทิน สร้างรายการสิ่งที่ต้องทำ หรือดึงข้อมูลรายงานต่างๆ ในเวิร์กชอปนี้ เราจะสร้าง AI Agent ที่เชื่อมต่อกับ Google Calendar และ Google Sheets พร้อมทั้งสร้าง Workflow รายงานประจำวันอัตโนมัติ

4.1. การตั้งค่า AI Agent พื้นฐาน

  1. สร้าง Workflow ใหม่: เริ่มต้นด้วยทริกเกอร์ On chat message ซึ่งจะสร้างหน้าต่างแชทที่มุมขวาล่างของจอ
  2. เพิ่มโหนด AI Agent: เพิ่มโหนด Advanced AI Agent ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบ
  3. ทำความเข้าใจ 3 ส่วนประกอบหลัก:
    • Chat Model (สมองของ AI): คือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ทำหน้าที่คิด วิเคราะห์ และตอบสนองต่อคำสั่ง เราจะใช้ OpenAI / ChatGPT
    • Memory (หน่วยความจำ): ช่วยให้ AI สามารถจดจำบทสนทนาก่อนหน้าได้ เพื่อให้การพูดคุยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
    • Tools (เครื่องมือ): คือความสามารถพิเศษที่เรามอบให้ AI เพื่อให้มันสามารถทำงานกับแอปพลิเคชันอื่นได้ เช่น Google Calendar หรือ Google Sheets
  4. ตั้งค่า Chat Model (OpenAI):
    • ไปที่ platform.openai.com เพื่อสร้าง API Key (โปรดทราบว่าคุณจำเป็นต้องมีเงินในบัญชีขั้นต่ำ $5 เพื่อใช้งาน API)
    • กลับมาที่ n8n เพิ่ม Credential ใหม่สำหรับ OpenAI และวาง API Key ที่คัดลอกมา
  5. ตั้งค่า Memory:
    • เลือก Window Buffer Memory ซึ่งเป็นหน่วยความจำพื้นฐานที่มาพร้อมกับ n8n ช่วยให้ AI จดจำบทสนทนาย้อนหลังได้ตามจำนวนที่กำหนด
  6. เพิ่มบริบทให้ AI:
    • ในช่อง System Message ของ AI Agent ให้ใส่ข้อความเริ่มต้น เช่น Your helpful assistant
    • เพิ่มบริบทด้านเวลาโดยใส่ Expression: The current date is {{ $now }} เพื่อให้ AI ทราบวันที่ปัจจุบัน ซึ่งสำคัญมากสำหรับการจัดการนัดหมาย

4.2. การเพิ่มเครื่องมือ: จัดการ Google Calendar และ Google Sheets

เครื่องมือ (Tools) คือสิ่งที่ทำให้ AI Agent ของเราทำงานได้จริง

  1. เพิ่มเครื่องมือ Google Calendar:
    • ในส่วน Tools ของ AI Agent คลิก Add Tool และเลือก Google Calendar
    • เลือก Operation เป็น Create เพื่อสร้าง Event
    • นิพจน์ fromAI เปรียบเสมือนการสั่งงาน AI แบบง่ายๆ เมื่อคุณเขียน {{ fromAI('start_time', 'This is the start time of the event') }} มันคือการบอก AI ว่า 'ลองดูในประโยคที่ผู้ใช้พิมพ์มา แล้วหาส่วนที่ดูเหมือนเวลาเริ่มต้นให้หน่อย เจอแล้วก็เอามาใส่ตรงนี้นะ' ให้ใช้หลักการนี้กับช่อง Start Time, End Time, และ Summary เพื่อให้ AI สกัดข้อมูลจากประโยคคำสั่งของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ
    • ทำเช่นเดียวกันเพื่อเพิ่มความสามารถในการ Get Many (ค้นหา) Events
  2. เพิ่มเครื่องมือ Google Sheets:
    • สร้าง Google Sheet ใหม่สำหรับเก็บรายการสิ่งที่ต้องทำ (Tasks) โดยมีคอลัมน์: Task Name, Description, Due Date, Priority
    • เพิ่ม Tool Google Sheets และเลือก Operation Append Row เพื่อสร้าง Task ใหม่
    • ในช่อง Priority ของ Tool ให้เพิ่มคำแนะนำสำหรับ AI ในช่อง Description เช่น "Please choose one of the following priorities: low, medium, and high" เพื่อจำกัดให้ AI เลือกจากตัวเลือกที่เรากำหนดเท่านั้น
  3. กำหนดกฎการทำงานที่ซับซ้อน:
    • สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น การอัปเดตข้อมูล เราต้องกำหนดกฎให้ชัดเจนใน System Message หลักของ AI Agent
    • เพิ่มกฎ: "before updating a Google sheet, please find the record first with the Google Sheets Search tool." เพื่อสั่งให้ AI ค้นหาข้อมูลแถวที่ต้องการอัปเดตให้เจอก่อน แล้วจึงทำการอัปเดต

4.3. การสร้าง Workflow รายงานประจำวัน

Workflow นี้จะทำงานอัตโนมัติทุกวันเพื่อค้นหาลูกค้าเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับการติดต่อและส่งเป็นรายงานสรุป

  1. สร้าง Workflow ใหม่ด้วย Schedule Trigger: ตั้งค่าให้ทำงานทุกวันตามเวลาที่ต้องการ เช่น 19:00 น.
  2. Get Sheet Rows: ใช้โหนด Google Sheets เพื่อดึงข้อมูลลูกค้าเป้าหมายทั้งหมดที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน "วันนี้" (Today)
  3. Filter: ใช้โหนด Filter เพื่อกรองข้อมูลที่ไม่ต้องการออก โดยตั้งเงื่อนไข 2 ข้อ:
    • กรองแถวที่ rejected เป็น true หรือ
    • กรองแถวที่ called เป็น true
  4. Array Aggregator: โหนดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลลูกค้าที่ผ่านการกรองทั้งหมดให้กลายเป็น "รายการ" (Array) เดียว หากไม่มีโหนดนี้ แล้วมีลูกค้า 2 คนที่ผ่านการกรองเข้ามา Workflow จะส่งอีเมล 2 ฉบับ (ฉบับละคน) แต่เราต้องการส่งอีเมลสรุปเพียงฉบับเดียวสำหรับลูกค้าทุกคนที่ยังไม่ได้รับการติดต่อ ดังนั้น Array Aggregator จึงเข้ามาทำหน้าที่รวบรวมพวกเขาทั้งหมดไว้ด้วยกันก่อนส่ง
  5. Code Node: เหตุผลที่ต้องใช้โหนด Code ก็เพราะว่า n8n ไม่มีโหนดสำเร็จรูปสำหรับแปลงข้อมูล Array ที่ซับซ้อนให้เป็นข้อความที่จัดรูปแบบสวยงามได้ในตัว โหนดนี้จึงเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการแปลงข้อมูลแบบกำหนดเอง ในกรณีนี้ เราใช้โค้ด JavaScript (ซึ่งสามารถให้ ChatGPT ช่วยเขียนได้) เพื่อแปลงข้อมูล Array ของลูกค้าให้กลายเป็นข้อความ (Text String) ที่จัดรูปแบบสวยงามพร้อมสำหรับการส่งอีเมล
  6. Send Email: ใช้โหนด Gmail เพื่อส่งข้อความที่จัดรูปแบบแล้วในขั้นตอนก่อนหน้าเป็นอีเมลรายงานสรุปประจำวัน

บทเรียนสำคัญจากการดีบัก: ทำไมประเภทข้อมูล (Data Types) ถึงสำคัญ

ในขั้นตอนการสร้างรายงานประจำวัน เราอาจเจอปัญหาที่โหนด Filter ทำงานผิดพลาด โดยเฉพาะเมื่อต้องเปรียบเทียบค่า 'true' หรือ 'false' ที่มาจาก Google Sheets ปัญหาเกิดจากโหนด Filter อาจกำลังมองหาข้อมูลประเภท Boolean ที่มีค่าเป็น false แต่ข้อมูลที่มาจาก Google Sheets กลับเป็นประเภท Text ที่มีค่าเป็น "true" ซึ่ง n8n มองว่าเป็นคนละสิ่งกันโดยสิ้นเชิง

เพื่อแก้ปัญหาและป้องกันข้อผิดพลาดลักษณะนี้ในอนาคต การทำความเข้าใจประเภทข้อมูลพื้นฐานใน n8n จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ประเภทข้อมูล (Data Type)

คำอธิบาย (Description)

ตัวอย่าง

Text

ข้อความหรือตัวอักษร

"Jono Catliff"

Number

ตัวเลข

5000

Boolean

ค่าความจริง มีเพียงสองค่าคือ จริง (true) หรือ เท็จ (false)

true

Date

ข้อมูลวันที่และเวลา

"2025-02-19T..."

Binary

ข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อความ เช่น ไฟล์ PDF หรือรูปภาพ

(ข้อมูลไฟล์)

Array

เปรียบเสมือน "รายการจ่ายตลาด" ที่เก็บข้อมูลหลายๆ ชิ้นเรียงต่อกัน

["oranges", "bananas"]

Collection/Object (JSON)

กลุ่มของข้อมูลที่จัดเก็บในรูปแบบ "คีย์-ค่า" (Key-Value Pair) คล้ายกับหนึ่งแถวในตาราง

{"firstName": "Jono", "lastName": "Catliff"}

แบบฝึกหัดท้ายบท (End-of-Chapter Exercise)

ลองเพิ่มเครื่องมือ (Tool) ใหม่ให้กับ AI Agent ของคุณ โดยใช้โหนด Google Sheets เพื่อให้ AI สามารถ 'ลบ' งาน (Delete Row) ออกจากชีทรายการสิ่งที่ต้องทำได้ ลองสนทนากับ AI เพื่อสั่งให้ลบงานที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้

ในบทถัดไป เราจะสำรวจวิธีการเชื่อมต่อกับระบบภายนอกที่ไม่มี integration สำเร็จรูปใน n8n

5. เวิร์กชอปที่ 3: การเชื่อมต่อขั้นสูงด้วย Webhooks และ HTTP Requests

แม้ว่า n8n จะมีการเชื่อมต่อสำเร็จรูป (Integrations) กับแอปพลิเคชันมากมาย แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราอาจต้องเชื่อมต่อกับระบบที่ไม่มีในรายการ Webhooks และ HTTP Requests คือเครื่องมือสากลที่ช่วยให้ n8n สามารถสื่อสารกับแอปพลิเคชันหรือบริการใดๆ ก็ได้บนอินเทอร์เน็ต เสมือนเป็นประตูเชื่อมต่อที่เปิดกว้าง

5.1 Webhook: การรับข้อมูลเข้าสู่ n8n

Webhook คือ URL ที่ไม่ซ้ำกันซึ่งทำหน้าที่เหมือน "ผู้ฟัง" ที่คอยรับข้อมูลจากระบบภายนอก เมื่อมีข้อมูลถูกส่งมายัง URL นี้ มันจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น (Trigger) ให้ Workflow ของ n8n เริ่มทำงานทันที

ขั้นตอนการตั้งค่า:

  1. สร้าง Webhook Trigger: ใน Workflow ใหม่ ให้เพิ่มโหนด Webhook
  2. ตั้งค่า HTTP Method: เปลี่ยน HTTP Method เป็น POST ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการ "ส่ง" ข้อมูลเข้ามา
  3. คัดลอก URL: n8n จะสร้าง URL สำหรับทดสอบ (Test URL) ให้ คัดลอก URL นี้
  4. เชื่อมต่อกับบริการภายนอก: นำ URL ที่คัดลอกไปวางในช่องตั้งค่า Webhook ของบริการภายนอก (เช่น Tally Forms ซึ่งเป็นบริการสร้างฟอร์ม) เพื่อบอกให้ระบบนั้นส่งข้อมูลมาที่ n8n ทุกครั้งที่มีการกรอกฟอร์ม
  5. ทดสอบการรับข้อมูล: กด Listen for events ใน n8n แล้วลองส่งข้อมูลจากบริการภายนอก (เช่น ลองกรอกฟอร์ม) ข้อมูลจะปรากฏขึ้นใน n8n ทันที

5.2 HTTP Request: การส่งข้อมูลออกจาก n8n

ในทางกลับกัน HTTP Request Node คือเครื่องมือสำหรับ "ส่ง" ข้อมูลออกจาก n8n ไปยังระบบภายนอกที่ไม่มี Integration สำเร็จรูป เหมาะสำหรับกรณีที่เราต้องการสร้างผู้ติดต่อใหม่ใน CRM, ส่งข้อมูลไปยัง API เฉพาะทาง หรือเชื่อมต่อกับระบบภายในองค์กร

ขั้นตอนการตั้งค่า (ตัวอย่าง: ส่งข้อมูล Lead ไปยัง CRM):

  1. เพิ่มโหนด HTTP Request: เพิ่มโหนด HTTP Request ต่อจากโหนด Webhook
  2. กำหนด URL ปลายทาง: นำ URL ของ API ปลายทาง (เช่น URL ของ CRM หรือบริการทดสอบอย่าง Request Catcher) มาวางในช่อง URL
  3. เลือก Method: เลือก Method เป็น POST เพื่อส่งข้อมูลไปสร้างรายการใหม่
  4. สร้าง Body (เนื้อหาข้อมูล):
    • ในส่วน Body เลือก Add Option -> Key-Value Pairs
    • สร้าง "คีย์" ที่ตรงกับสิ่งที่ระบบปลายทางต้องการ (เช่น name, email)
    • นำ "ค่า" หรือข้อมูลที่ได้รับจาก Webhook มาใส่ในช่อง Value ที่ตรงกัน
  5. ทดสอบการส่ง: กด Test step เพื่อส่งข้อมูลไปยัง URL ปลายทาง และตรวจสอบว่าระบบภายนอกได้รับข้อมูลถูกต้อง

เมื่อคุณเข้าใจวิธีการรับและส่งข้อมูลแบบสากลแล้ว ในบทต่อไป เราจะเข้าสู่เวิร์กชอปที่ล้ำหน้าที่สุด คือการสร้างฐานความรู้เฉพาะทางให้กับ AI ของคุณ

6. เวิร์กชอปที่ 4: สร้าง AI RAG System ด้วยองค์ความรู้ของคุณเอง

RAG (Retrieval-Augmented Generation) คือระบบ AI ขั้นสูงที่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญของโมเดลภาษาทั่วไป นั่นคือการที่มันไม่รู้จักข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลเฉพาะทางขององค์กรคุณ ระบบ RAG ช่วยให้ AI Agent สามารถ "สืบค้น" ข้อมูลจากเอกสารส่วนตัวของคุณ (เช่น สัญญา, คู่มือผลิตภัณฑ์, SOPs) และนำข้อมูลที่ค้นพบมาใช้ในการ "สร้าง" คำตอบที่แม่นยำและเฉพาะเจาะจง ทำให้ AI ของคุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่คุณต้องการ

6.1. ขั้นตอนที่ 1: การดึงและประมวลผลเอกสาร (Data Ingestion)

ขั้นตอนนี้คือการนำเอกสารของเราไปสร้างเป็นฐานข้อมูลความรู้ที่ AI สามารถเข้าใจได้

  1. ดาวน์โหลดไฟล์จาก Google Drive:
    • ใช้โหนด Google Drive และเลือก Operation เป็น Download a File
    • ต้องยอมรับว่าการตั้งค่า Credential สำหรับ Google Drive ในครั้งแรกนั้นค่อนข้างยุ่งยากและอาจสร้างความสับสนได้พอสมควร แต่อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะนี่คือการตั้งค่าที่ทำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
    • เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้ว ให้กำหนดค่าเพื่อค้นหาและดาวน์โหลดไฟล์ที่ต้องการ (เช่น สัญญาในรูปแบบ PDF)
  2. สกัดข้อความจากไฟล์ (PDF):
    • เพิ่มโหนด Extract from File เพื่อแปลงข้อมูลไฟล์ (Binary Data) ที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Drive ให้กลายเป็นข้อความ (Text) ที่สามารถนำไปประมวลผลต่อได้
  3. จัดเก็บใน Vector Store:
    • Vector Store คือฐานข้อมูลชนิดพิเศษที่จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบตัวเลข (Vectors) โดยข้อมูลที่มีความหมายใกล้เคียงกัน (เช่น "แมว" กับ "สิงโต") จะถูกจัดเก็บไว้ในตำแหน่งที่ใกล้กัน ทำให้การค้นหาตามความหมาย (Semantic Search) มีประสิทธิภาพสูง
    • เพิ่มโหนด In-Memory Vector Store และเลือก Operation เป็น Add Document
  4. ตั้งค่าการประมวลผล:
    • Embedding Model: คือโมเดลที่ทำหน้าที่แปลงข้อความให้เป็น Vector ตัวเลข
    • Text Splitter (Recursive Character): เป็นส่วนที่สำคัญมาก ทำหน้าที่ "ซอย" เอกสารยาวๆ ให้เป็นชิ้นเล็กๆ (Chunks) โดยเครื่องมือนี้จะเริ่มจากการพยายามแบ่งเอกสารตามย่อหน้า (paragraph) ก่อน และหากชิ้นส่วนนั้นยังใหญ่เกินไป มันจะซอยย่อยลงไปอีกระดับตามประโยค (sentence) วิธีการนี้ช่วยให้ความหมายของเนื้อหายังคงสมบูรณ์ที่สุด และทำให้ AI สามารถดึงเฉพาะข้อมูลส่วนที่เกี่ยวข้องมาตอบคำถามได้อย่างแม่นยำ

6.2. ขั้นตอนที่ 2: การสร้าง AI Agent เพื่อสืบค้นข้อมูล (Retrieval Agent)

ขั้นตอนนี้คือการสร้าง AI ที่จะมาใช้งานฐานข้อมูลความรู้ที่เราสร้างขึ้น

  1. สร้าง Workflow ใหม่: เริ่มต้นด้วยทริกเกอร์ On chat message
  2. ตั้งค่า AI Agent:
    • เพิ่มโหนด Advanced AI Agent
    • ตั้งค่า Chat Model (OpenAI) และ Memory (Window Buffer) เช่นเดียวกับเวิร์กชอปก่อนหน้า
  3. เพิ่ม Vector Store เป็นเครื่องมือ (Tool):
    • ในส่วน Tools ให้เพิ่ม In-Memory Vector Store ที่เราสร้างไว้
    • ตั้งชื่อและเขียนคำอธิบาย (Description) ให้กับ Tool นี้อย่างชัดเจน เพื่อเป็นคำสั่งให้ AI รู้ว่าควรจะเรียกใช้เครื่องมือนี้เมื่อใด เช่น "Please call this tool when the user has specific questions about the company/contract"
  4. ทดสอบระบบ:
    • ลองถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเอกสารของคุณ เช่น "Can you tell me what services are being offered?" (บริการที่นำเสนอมีอะไรบ้าง?)
    • AI Agent จะใช้ Vector Store Tool เพื่อค้นหาข้อมูลส่วนที่เกี่ยวข้องที่สุดจากเอกสาร และนำมาสร้างเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

แบบฝึกหัดท้ายบท (End-of-Chapter Exercise)

ลองอัปโหลดเอกสาร PDF ของคุณเอง (เช่น ประวัติการทำงาน หรือบทความสั้นๆ) ไปยัง Google Drive และปรับแก้ Workflow นี้เพื่อสร้างฐานข้อมูลความรู้จากเอกสารของคุณ จากนั้นลองตั้งคำถามกับ AI Agent เพื่อทดสอบว่ามันสามารถตอบคำถามจากเนื้อหาในเอกสารของคุณได้หรือไม่

การสร้างระบบ RAG คือการปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของ AI ทำให้คุณสามารถสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะที่เชี่ยวชาญข้อมูลเฉพาะทางได้อย่างแท้จริง

7. บทสรุปและขั้นตอนต่อไป

ตลอดคู่มือฉบับนี้ คุณได้เดินทางจากการเรียนรู้พื้นฐานของ n8n ไปสู่การสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนและทรงพลัง คุณได้ลงมือสร้าง Workflow ที่ใช้งานได้จริง ตั้งแต่ระบบจัดการลูกค้าเป้าหมายที่ช่วยเพิ่มยอดขาย, ผู้ช่วย AI ส่วนตัวที่จัดการงานประจำวัน, ไปจนถึงระบบ RAG ขั้นสูงที่เปลี่ยนเอกสารธรรมดาให้กลายเป็นฐานความรู้ที่ AI สามารถสืบค้นได้ คุณได้เรียนรู้แนวคิดหลักที่สำคัญ เช่น Triggers, Actions, Expressions, Data Types และการเชื่อมต่อผ่าน Webhooks ซึ่งทั้งหมดนี้คือรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาระบบอัตโนมัติในอนาคต

เพื่อต่อยอดการเรียนรู้และสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ คุณสามารถใช้แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมเหล่านี้:

  • ดาวน์โหลด Blueprints: สามารถดาวน์โหลดไฟล์ Workflow (Blueprints) ทั้งหมดจากเวิร์กชอปนี้ เพื่อนำไปทดลอง, ศึกษา และปรับใช้กับงานของคุณเอง
  • ติดตามช่อง YouTube: ติดตามช่องของผู้สอนเพื่อรับชมวิดีโอและโซลูชันใหม่ๆ เกี่ยวกับ AI และระบบอัตโนมัติที่จะเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
  • เข้าร่วม School Community: สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น สามารถเข้าร่วมคอมมูนิตี้เพื่อเข้าถึงวิดีโอพิเศษ, เข้าร่วมการพูดคุยกับผู้สอนโดยตรง และแลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชิกคนอื่นๆ

คุณไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนรู้ แต่ตอนนี้คุณคือผู้สร้าง! คุณมีรากฐานที่แข็งแกร่งและเครื่องมือที่พร้อมจะเปลี่ยนทุกไอเดียให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติที่ทำงานให้คุณอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โลกของ n8n เปิดกว้างรอให้คุณไปสำรวจแล้ว ขอให้สนุกกับการสร้างสรรค์!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Line บน PC

Pivot Table ใน Excel 2007: วิธีสร้าง

การตั้ง password ของ root ใน mysql ผ่าน XAMPP